วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568
5 มี.ค. 2566 10:30 | 571 view
@kan
ในปี 2022 เป็นปีที่ท้าทายอย่างมากในโลกเศรษฐกิจ ทั้งการปรับตัวกับโลกหลังการระบาดของ Covid-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินถดถอยหนัก เช่นเดียวกันในปี 2023 นี้ก็มีเทรนด์ที่น่าสนใจ ท่ามกลางโลกที่ผันผวน สรุปได้ออกมาเป็น 5 เทรนด์แนวทางเศรษฐกิจของ ปี 2023 ซึ่งได้แก่
พลังที่ไร้ขีดจำกัดของโซเชียลมีเดียและเทคโนโลยี New Normal โอกาสของธุรกิจเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เทรนด์สินค้าและบริการเพื่อความยั่งยืน ตลาดสัตว์เลี้ยงมีมูลค่าสูง และสุดท้ายคือ ปัญหาท้าทายวงการทรัพยากรมนุษย์ (Talent challenge)
และในบทความนี้ เราจึงอยากชวนคุณมาอัปเดตเทรนด์เศรษฐกิจทั้ง 5 ในปี 2023 อย่างตามที่กล่าวไปนั้นว่าเป็นอย่างไร และสำคัญกับชีวิตเราอย่างไร
เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์การใช้โซเชียลมีเดียสูงสุดตลอดการแพร่ระบาดของโควิดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในไทยก็มีการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้โซเชียลมีเดียอย่างก้าวกระโดดเช่นเดียวกัน
โดยข้อมูลจาก MI Group ในปี 2022 (แนบลิงค์ https://www.brandbuffet.in.th/2023/01/2023-hand-book-post-pandemic-study-by-mi-group/) รายงานว่าว่า คนไทยมีรูปแบบการใช้โซเชียลมีเดีย Facebook Twitter Line TikTok มากขึ้น โดยมีผู้ใช้ Facebook 44 ล้านผู้ใช้ , YouTube 38 ล้านผู้ใช้ , Twitter 8 ล้านผู้ใช้ และ TikTok 27 ล้านผู้ใช้ เรียกได้ว่ามากกว่าสื่อเก่าอย่างโทรทัศน์และวิทยุ หรือ OOH ( out of home ) หรือสื่อที่สามารถเห็นพบได้นอกครัวเรือน เช่น แผ่นพับ หรือป้ายโฆษณาใดๆ และเป็นที่แน่นอนว่าในปี 2023 การรับชม Video on demand อย่าง Netflix Amazon หรือ YouTube และแอพพลิเคชันวิดีโอสตรีมมิงเข้ามามีอิทธิพลกับวงการสื่อมากขึ้น เพราะคนไทยนิยมเสพคอนเทนต์วิดีโอเพื่อความรู้และความบันเทิง ดังนั้นการตลาดและ e-commerce การทำธุรกรรมพาณิชย์ต่างๆ จึงต้องปรับเปลี่ยนมาสู่โลกออนไลน์มากขึ้น
สิ่งนี้สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่รายงานโดย Forbes ระบุว่า ในปี 2023 โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงองค์กรหรือธุรกิจสู่โลกดิจิทัล (digital transformation) ที่รวดเร็วขึ้นจากการพัฒนาของ AI (Artificial Intelligence) IoT (Internet of Things หรือทุกสิ่งที่เชื่อมต่อและแบ่งปันข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต) โลก VR/AR หรือเทคโนโลยีทางการเงินที่ทำให้วงการการเงินทั่วโลกต้องปรับตัวอย่าง blockchain และ bitcoin เศรษฐกิจโลกนั้นจะพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยการดำเนินงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ remote working การใช้ cloud computing การใช้ AI มาช่วยสร้างสรรค์งานครีเอทีฟ และการเขียน
หลังจากวิกฤตโควิด ผู้คนต่างหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ทำให้เทรนด์โลกเน้นไปที่การมีวิถีชีวิตเฮลท์ตี้และใช้จ่ายมากขึ้นในการดูแลตนเองให้อยู่ในสภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ “Delivery Trend Report 2022” ซึ่งเป็นรายงานที่จัดทำโดย Grab รายงานว่าทุกๆ 2-3 วัน ลูกค้าชาวไทย 74% จะสั่งอาหารประเภท plant-based food โดยกลุ่มผู้ที่สั่งอาหารเพื่อสุขภาพไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป เพราะคนหลายๆ กลุ่มไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมากก็หันมาหันมาสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น รวมทั้งธุรกิจทรีทเมนท์เพื่อความงาม การนวด และการทำสปา คาดว่าจะเติบโตขึ้นไปอีกในปี 2023 นอกจากนี้โรงพยาบาลเอกชนเอง ก็เริ่มฟื้นตัวมากขึ้นในปีที่แล้ว เนื่องจากการกลับมาของชาวต่างชาติ โดยมีการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติตามกฎหมายกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 960,000 คน
เทรนด์นี้นั้นสอดคล้องกับสิ่งที่เรียกว่า “เลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก” หรือ ” Pet Humanization” โดยรายงานจากภาควิชาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) รายงานว่าตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตใหญ่ท่ามกลางโควิด-19 เป็นอย่างมาก และคาดการณ์ว่า ในปี 2026 ตลาดสัตว์เลี้ยงของโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 217,615 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2%
สอดคล้องกับงานศึกษาของ Euromonitor (แนบลิ้งค์ https://www.euromonitor.com/world-market-for-pet-care/report) ที่คาดการณ์ไว้ว่า ผู้เลี้ยงสัตว์จะมีมุมมองเลี้ยงสัตว์เหมือนเลี้ยงลูกมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แบรนด์ต่างๆ ทำการตลาดโดยใช้สัตว์เลี้ยงเป็นตัวแสดงนำ รวมทั้งยังเกิดธุรกิจรับดูแลสัตว์ครบวงจร โรงพยาบาลสัตว์ และตลาดการดูแลสุขภาพสัตว์เติบโตใน e-commerce มากขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์แพ็คเกจขนาดใหญ่มาเก็บสำรองเอาไว้
โดยสถิติที่น่าสนใจคืออัตราการเลี้ยงสัตว์ในไทยจากฐานข้อมูลเพื่อการขึ้นทะเบียนสุนัข-แมว ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกปี แต่อัตราการเกิดของเด็กในไทยตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมาลดลง ซึ่งคนไทยและสังคมโลกนั้น อาจมีมุมมองต่อการเกิดที่เปลี่ยนไป และหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพื่อเข้ามาเติมเต็มครอบครัวแทนการมีลูก
สิ่งสำคัญที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้คือ ปัญหา Climate Change หรือ สภาวะสภาพอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้หลายสินค้าและบริการตระหนักถึงผลเสียร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะดังกล่าว และหันมาทำธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือเรียกง่ายๆ ว่ารักษ์โลกกันมากขึ้น หรือสินค้าที่มีความยั่งยืน มีคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อม ในส่วนของผู้บริโภคเอง โดยเฉพาะเหล่า Gen Z ที่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความรับผิดชอบที่พวกเขาต้องพยายามแก้ไขมากที่สุด ก็ตอบสนองด้วยการซื้อสินค้าและบริการที่ใส่ใจโลก ไม่ละเมิดจริยธรรมใดๆ ในการผลิต ไม่ทำลายสัตว์ หรือสิ่งแวดล้อมใดๆ เพื่อนำมาทำเป็นสินค้าของตนเอง
ผลการสำรวจของMcKinsey(แนบลิ้งค์ https://www.mckinsey.com/industries/paper-forest-products-and-packaging/our-insights/sustainability-in-packaging-global-regulatory-development-across-30-countries ) ซึ่งทำการสำรวจ 30 ประเทศทั่วโลกและพบว่ากว่า 28 ประเทศได้กำหนดข้อบังคับความรับผิดชอบเพิ่มเติมของผู้ประกอบการ (EPR:EPR: Extended Producer Responsibility) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบการจะทำธุรกิจอย่างยั่งยืนมากขึ้น
รายงานของ McKinsey ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมานั้น มีกฎระเบียบเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนที่มักจะมุ่งเน้นไปที่การใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติกเป็นหลัก โดยฝรั่งเศสและอินเดียเป็นประเทศที่มีมาตรการจำนวนมากในด้านนี้ รวมทั้งปัจจุบันสหภาพยุโรป (EU) ก็มี European Green Deal เป็นแผนการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกลง และเก็บภาษีพลาสติก โดยสมาชิกของ EU ต้องจ่ายภาษีซึ่งคำนวณจากปริมาณบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว ในอัตรา 0.8 ยูโรต่อกิโลกรัม ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกตามมาแน่นอน
ในช่วงวิกฤตโรคระบาด การทำงานแบบ Work from anywhere และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) นั้น เปลี่ยนโลกของการทำงานเป็นอย่างมาก โลกเศรษฐกิจจึงต้องประสบกับ “The Great Resignation” หรือการลาออกครั้งใหญ่ของพนักงานในช่วงการระบาดของ COVID-19 จากความไม่สมดุลของชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน และโลกยังต้องรับมือกับ “Quiet Quitting” ที่หมายถึงการที่พนักงานค่อยๆ เอาตัวเองออกจากงาน นำตัวเองออกจากงานปัจจุบันที่ต้องทำงานเช้าจรดค่ำ ไม่มีการทุ่มเททำงานหนัก ทำงานเกินหน้าที่ หรือทำหน้าที่เพิ่มเติมเพื่อสร้างความประทับใจให้หัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงานอีกต่อไป แล้วหันไปให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่สมดุลระหว่างการทำงานกับชีวิตส่วนตัว (work-life balance) มากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เข้ามาท้าทายวงการทรัพยากรมนุษย์มาก เพราะนายจ้างและฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ไม่ว่าจะองค์กรขนาดเล็กหรือใหญ่ต่างต้องมองหาแนวทางวิธีการทำงานแบบใหม่ ให้ความยืดหยุ่นในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบผสมผสานทำงานที่บ้านกับที่ทำงาน (hybrid working) สิ่งจูงใจพนักงานที่มากกว่าเงินเดือน และสภาพแวดล้อมการทำงานที่น่าดึงดูดและวัฒนธรรมองค์กรที่มีโอกาสในการเติบโตและเรียนรู้ให้แก่พนักงาน
เรียกได้ว่า 5 เทรนด์เศรษฐกิจนี้เป็น The Next Normal หรือสิ่งที่จะเป็นความปกติถัดไปในแวดวงธุรกิจ ฝั่งผู้ประกอบการ ผู้ผลิตก็ต้องปรับตัว และวางแผนแนวทางธุรกิจให้สอดคล้องกับเทรนด์มากขึ้น หรือแม้แต่ทางผู้บริโภค ผู้กำลังมองหางานเองก็ต้องพยายามอัปเดตเทรนด์เพื่อจะได้ก้าวให้ทันโลก หยิบจับเทคโนโลยีน่าสนใจมาต่อยอด รับมือกับความเปลี่ยนแปลงในโลกนี้ได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ตนเองต่อไป
ข่าว
16 ก.พ. 2568 11:48 52 views
ข่าว
16 ก.พ. 2568 11:19 66 views
ข่าว
16 ก.พ. 2568 11:11 51 views
ข่าว
16 ก.พ. 2568 11:05 82 views
ข่าว
16 ก.พ. 2568 10:59 67 views
ข่าว
16 ก.พ. 2568 10:50 62 views
ข่าว
16 ก.พ. 2568 10:44 106 views
ข่าว
16 ก.พ. 2568 10:34 71 views
ข่าว
16 ก.พ. 2568 10:23 47 views
ข่าว
16 ก.พ. 2568 10:17 43 views
ข่าว
15 ก.พ. 2568 16:14 279 views
ข่าว
15 ก.พ. 2568 15:54 156 views
ข่าว
15 ก.พ. 2568 15:49 207 views
ข่าว
15 ก.พ. 2568 13:20 140 views
ข่าว
15 ก.พ. 2568 13:15 214 views
ข่าว
15 ก.พ. 2568 13:12 124 views